วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

มีพระนามเดิมว่า ฉิม

              พระราชประวัติ
              พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงประสูติเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 ตรงกับวันพุธ ขึ้น คํ่า เดือน ปีกุน มีพระนามเดิมว่า "ฉิม" พระองค์ทรงเป็นพระบรมราชโอรสองค์ที่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประสูติ ณ บ้านอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นหลวงยกกรับัตรเมืองราชบุรี พระบิดาได้ให้เข้าศึกษากับสมเด็จพระวันรัต ( ทองอยู่ ) ณ วัดบางหว้าใหญ่ พระองค์ทรงมีพระชายาเท่าที่ปรากฎ 
1. กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระอัครมเหสี
2. กรมสมเด็จพระศรีสุราลัย พระสนมเอก ขณะขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2352 มีพระชนมายุได้ 42 พรรษา 
             พระราชกรณียกิจที่สําคัญ 
พ.ศ. 2317 ขณะที่เพิ่งมีพระชนมายุได้ พรรษา ได้ติดตามไปสงครามเชียงใหม่ อยู่ในเหตุการณ์ครั้งที่บิดามีราชการไปปราบปรามเมืองนางรอง นครจําปาศักดิ์ และบางแก้ว ราชบุรี จนถึงอายุ 11 พรรษา
พ.ศ. 2322 พระราชบิดาไปราชการสงครามกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ติดตามไป
พ.ศ. 2323 พระชนมายุ 13 พรรษา ได้เข้าเป็นศิษย์สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่ )
พ.ศ. 2324 พระราชบิดาได้เลื่อนเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ ไปร่วมปราบปรามเขมรกับพระบิดา
พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ปราบดาภิเษกแล้วได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร"
พ.ศ. 2329 พระชนมายุ 19 พรรษา ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามตําบลลาดหญ้า และทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
พ.ศ. 2330 ได้โดยเสด็จพระบรมชนกนาถ ไปสงครามที่ตําบลท่าดินแดง และตีเมืองทวาย
พ.ศ. 2331 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่อุปสมบทในวัดนี้ เสด็จไปจําพรรษา เมื่อครบสามเดือน ณ วัดสมอราย ปัจจุบันคือวัดราชาธิราช ครั้นทรงลาผนวชในปีนั้น ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าหญิงบุญรอด พระธิดาในพระพี่นางเธอ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรมพระศรีสุดารักษ์
พ.ศ. 2336 โดยเสด็จพระราชบิดาไปตีเมืองทวาย ครั้งที่ 2
พ.ศ. 2349 ( วันอาทิตย์ เดือน ขึ้น คํ่า ปีขาล ) ทรงพระชนมายุได้ 40 พรรษาได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" ซึ่งดํารงตําแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นแทน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ที่ได้สวรรคตแล้วเมื่อ พ.ศ. 2346
พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(.2)
การทำนุบำรุงประเทศ
ระยะแรกของการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พม่ายังคงรุกรานประเทศไทยอย่างต่อเนื่องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเมืองและป้อมปราการต่างๆขึ้นเพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านคอยป้องกันข้าศึกที่จะยกมาทางทะเลที่เมืองสมุทรปราการ และที่เมืองปากลัด โดยทรงมีพระบัญชาให้กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ เป็นแม่กองสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นที่ปากลัด (ปัจจุบัน คือ .พระประแดงสมุทรปราการพร้อมป้อมปิศาจผีสิง ป้องราหูและป้อมศัตรูพินาศ แล้วโปรดเกล้าฯให้อพยพครอบครัวชาวมอญจากปทุมธานีมาที่นครเขื่อนขันธ์ นอกจากนี้ยังให้กรมหมื่นมหาเจษฎาบดินทร์เป็นแม่กองจัดสร้างป้อมผีเสื้อสมุทร ป้อมประโคนชัย ป้อมนารายณ์ปราบศึก ป้อมปราการ ป้อมกายสิทธิ์ ขึ้นที่เมืองสมุทรปราการ และโปรดเกล้าฯให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์ไปคุมงานสร้างป้อมเพชรหึงส์เพิ่มเติม ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ การสร้างป้อมปราการและเมืองต่างๆขึ้นมากมาย ด้วยการที่จะป้องกันไม่ให้ข้าศึกเข้าโจมตีพระนครได้โดยง่าย ถือว่าทรงมีสายพระเนตรที่ยาวไกล
ด้านการป้องกันประเทศ
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พม่าได้ยกทัพเข้ามาตีไทยหลายครั้ง เริ่มตั้งแต่เมื่อพระองค์เสวยราชย์ได้ 2 เดือน ในขณะนั้นพระเจ้าปดุง กษัตริย์พม่าได้แต่งตั้งแม่ทัพพม่า 2นาย คือ แม่ทัพเรืออะเติ้งหงุ่นยกทัพเรือเข้ามาตีไทยทางหัวเมืองชายทะเลทางตะวันตก และสามารถตีได้เมืองตะกั่วทุ่งและตะกั่วป่า และได้ล้อมเมืองถลางไว้ก่อนที่ทัพไทยจะยกลงไปช่วย และในที่สุดก็สามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไป
ส่วนทางด้านทัพบก พระเจ้าปดุงได้แต่งตั้งแม่ทัพสุเรียงสาระกะยอ ยกกำลังมาทางบก เพื่อเข้าตีหัวเมืองทางด้านทิศใต้ของไทย และสามารถตีได้เมืองมะลิวัน ระนองและกระบี่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ส่งกองทัพลงไป และปะทะกับกองทัพพม่า ซึ่งทัพพม่าแตกถอยหนีกลับไป
ต่อมา .. 2363 พระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่าเสด็จสวรรคต พระเจ้าจักกายแมงได้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าปดุง ก็คิดจะยกทัพมาตีไทยอีก โดยสมคบคิดกับพระยาไทรบุรีซึ่งเปลี่ยนใจไปเขากับฝ่ายพม่า แต่เมื่อทราบว่าไทยจัดกำลังไปรับข้าศึกอย่างแข็งขันตามช่องทางที่พม่าจะยกเข้ามา พม่าเกิดกลัวว่าจะรบแพ้ จึงยุติทัพ จนอีก 3 ปีต่อมา พระเจ้าจักกายแมงได้ไปชักชวยพระเจ้าเวียด-นามมินมาง กษัตริย์ญวนให้มาช่วยตีไทย แต่ฝ่ายญวนไม่ร่วมด้วย พอดีกับพม่าติดสงครามกับอังกฤษจึงหมดโอกาสยกมาตีไทยอีก

ด้านการบำรุงศาสนา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย โดยเฉพาะด้านการก่อสร้างศาสนสถาน ทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างวัดขึ้นใหม่หลายวัด ได้แก่วัดสุทัศน์เทพวราราม  วัดชัยพฤกษ์มาลา วัดโมฬีโลก วัดหงสาราม และวัดพระพุทธบาทที่สระบุรี ที่สร้างค้างได้ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รวมทั้งโปรดเกล้าฯให้ทำการบูรณะ
ปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชวราราม โดยสร้างพระอุโบสถ พระปรางค์ รวมทั้งพระวิหารขึ้นใหม่ เพื่อเป็นพระอารามประจำรัชกาล
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงดำเนินการนโยบายกับต่างประเทศแบบผ่อนสั้นผ่อนยาว เป็นมิตรไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ทำให้ในรัชสมัยของพระองค์ปราศจากสงคราม ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างสุขสงบ และในรัชสมัยนี้มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศ ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจของไทยในสมัยนั้นมีความมั่นคงและเจริญขึ้นเป็นอย่างดี
ในปี ..2352 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จสวรรคต พระเจ้าเยียลอง พระเจ้าแผ่นดินญวน ได้ส่งทูตเข้ามาถวายบังคมพระบรมศพ พร้อมกับมีพระราชสาสน์มาขอเมืองพุทไธมาศคืน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเห็นว่าไทยมิได้ส่งทหารไปดูแลเลย จึงตกลงคืนให้ ทำให้สัมพันธภาพกับญวนเป็นไปได้ด้วยดี
สมเด็จพระอุทัยราชาเจ้าเขมร ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้การอุปถัมภ์นั้น เกิดผูกใจเจ็บกับไทยตั้งแต่เรื่องถูกติเตียนเรื่องที่อุกอาจเข้าเฝ้าโดยพลการ จึงมีความคิดที่จะกระด้างกระเดื่องต่อประเทศไทย โดยเริ่มจากไม่เข้าพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วยตนเอง และเมื่อคราวกรุงเทพฯมีศึกกับพม่าก็ไม่ยอมยกทัพมาช่วยเหลือ และสมเด็จพระอุทัยราชาก็หันไปพึ่งอำนาจจากญวนแทน โดยแม้จะยังส่งเครื่องราชบรรณาการมายังไทย แต่อำนาจของไทยในเขมรก็เสื่อมถอยลงตามลำดับ
เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้แสดงความจงรักภักดีต่อไทยตลอดรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยด้วยดี โดยช่วยเป็นหูเป็นตาดูแลหัวเมืองของไทยในแถบนั้นจนสิ้นรัชกาลที่ 2
เพื่อให้การติดต่อค้าขายกับประเทศจีนเป็นไปได้โดยสะดวก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงแต่งตั้งทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการ ไปเจริยพระราช-ไมตรีกับพระเจ้าเจี่ยเข่ง พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์เช็ง  กรุงปักกิ่ง ต่อมาพระเจ้า
เจี่ยเข่งสิ้นพระชนม์ ก็ทรงโปรดเกล้าฯให้ส่งทูตไทยไปเคารพพระบรมศพ และเจริญพระราชไมตรี ต่อพระเจ้าตากวาง ผู้ซึ่งได้สืบราชสมบัติแทน
โปรตุเกสกับไทยได้เคยมีการติดต่อค้าขายกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และเมื่อบ้านเมืองเกิดสงครามกับพม่า โปรตุเกสก็พากันย้ายออกไปค้าขายที่เมืองอื่นๆ ต่อมาในปี.. 2363 พระเจ้าแผ่นดินโปรตุเกสได้ส่งทูตเข้ามาขอทำสัญญาพระราชไมตรี เพื่อความสะดวกในการติดต่อค้าขาย

ด้านศิลปวัฒนธรรม 


                   ในด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านศิลปะหลายสาขา ทั้งทางด้านประติมากรรม ได้ทรงร่วมกับช่างประติมากรรมฝีมือเยี่ยมในสมัยนั้นแกะสลักบานประตูไม้วิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นลายเครือเถารูปป่าหิมพานต์ นับเป็นงานฝีมือชั้นเยี่ยม เนื่องด้วยภาพที่ทรงแกะสลักนั้น ทั้งสัตว์ต่างๆเช่น เสือ หมี ช้าง นกและพืชพรรณไม้ดูเหมือนจะสามารถเคลื่อนไหวได้จริงๆ ได้ทรงแกะสลักศีรษะหุ่นด้วยไม้สัก 1 คู่ เรียกว่า พระยารักน้อยและพระยารักใหญ่ ในปัจจุบันงานศิลปะ 2 ชิ้นนี้เก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร นอกจากนี้ ได้ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์พระประธานวัดอรุณราชวรารามด้วยพระองค์เองอีกด้วย

                 ด้านดนตรี ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ด้านดนตรีทั้งในการสร้างเครื่องดนตรีและในการเล่น
พระองค์ทรงเชี่ยวชาญในการสีซอสามสาย ได้พระราชทานนามซอคู่พระหัตถ์ว่า ซอสายฟ้าฟาด และได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลง บุหลันลอยเลื่อน หรือเรียกว่า เพลงพระสุบินนิมิต ซึ่งเป็นที่ไพเราะและได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน

                  ด้านวรรณคดี อาจกล่าวได้ว่า ยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเป็นยุคทองของวรรณคดีไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ละครรำรุ่งเรืองถึงขีดสุด ด้วยพระองค์ทรงเป็นกวีเอก ได้ทรงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเล่ม เป็นต้นว่ารามเกียรติ์ ตอน ลักสีดา จนถึงวานรถวายพล ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ ตอนนางสีดาลุยไฟได้ทรงปรับปรุงจากบทความเดิมให้มีความไพเราะเหมาะกับการแสดงโขน และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทพากย์โขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย
ตอนศึกอินทรชิตหักคอช้างเอราวัณ เป็นต้น บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน พลายแก้วพบนางพิม ตอนขุนแผนขึ้นเรือนขุนช้าง
ส่วนพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนานั้น ทรงได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเป็นยอดของกลอนบทละครรำ ด้วยเป็นเนื้อเรื่องที่ดีทั้งเนื้อความและทำนองกลอน
ส่วนบทละครนอก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นมาด้วยกัน 5 เรื่อง ได้แก่
1. ไชยเชษฐ์
2. สังข์ทอง
3. มณีพิชัย
4. ไกรทอง
5. คาวี
นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทเห่เรือ เรื่อง
กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ซึ่งมีความไพเราะและแปลกใหม่ไม่ซ้ำแบบกวีท่านใดเนื้อเรื่องแบ่งออกเป็น 5 ตอน คือ เห่ชมเครื่องคาว เห่ชมผลไม้ เห่ชมเครื่องหวาน เห่ครวญเข้ากับนักขัตฤกษ์ และบทเจ้าเซ็น บทเห่นี้เข้าใจกันว่าเป็นการชมฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี ในเรื่องการทำอาหาร
องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องด้วยทรงสร้างสรรค์วรรณคดีที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมไว้เป็นมรดกของชาติไว้เป็นจำนวนมาก และรวมถึงทรงปกครองบ้านเมืองให้ราษฎรได้อยู่เย็นเป็นสุขอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
และเนื่องด้วยในรัชกาลนี้มีช้างเผือกมาสู่พระบารมีถึง 3 เชือก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้ไขธงชาติไทยจากที่เคยใช้ธงแดงมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้ทำเป็นรูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรติดในธงพื้นแดง ซึ่งใช้เป็นธงชาติไทยสืบต่อกันมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 6

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น